fbpx

  1. เข้าถึงลูกค้าที่ “ใช่” หมดยุคของการสุ่มผ่านสื่อ

การที่ผู้บริโภคเข้าสู่แพลตฟอร์มดิจิทัลอย่าง YouTube มากขึ้น ทำให้มีกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ข้อมูล และสัญญาณต่างๆบนโลกออนไลน์ ทำให้นักการตลาดสามารถเห็นความเป็นตัวตนของผู้บริโภค และการสื่อสารกับผู้บริโภคแต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการ การปรับการสื่อสารให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม รวมทั้งลดการใช้งบประมาณด้านสื่อที่ไม่จำเป็น

  1. กลยุทธ์ “Digital Take-Over” หรือการเลือกคนที่ใช่ และสื่อสารในช่วงเวลาสั้น

การที่ผู้บริโภคได้รับข้อมูลข่าวสารต่างๆ ในปริมาณที่มากขึ้น ทำให้โอกาสที่ผู้บริโภคจะจดจำข้อมูลสินค้า หรือโฆษณาที่ผู้บริโภคเห็นผ่านตามีน้อยมาก สถานการณ์นี้ทำให้นักการตลาดต้องปรับตัวในการใช้กลยุทธ์ใหม่ เพื่อให้โฆษณาที่ผลิตออกมามีประสิทธิภาพสูงสุดในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย

กลยุทธ์ Digital Take-Over ประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ส่วน ได้แก่

  • การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีคุณภาพ – การทำให้มั่นใจได้ว่ากลุ่มคนที่เห็นโฆษณาของเรานั้น เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีแน้วโน้มจะซื้อสินค้าของเราจริงๆ ไม่ใช่การสุ่มกลุ่มเป้าหมาย
  • การทำให้ผู้ชมเห็นโฆษณาถี่มากขึ้น – เมื่อผู้ชมกลุ่มเป้าหมายเห็นโฆษณาไปครั้งหนึ่งแล้ว แบรนด์สามารถทำการ re-engage เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ชมสามารถจดจำคอนเทนท์ของแบรนด์ได้มากขึ้น
  • ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ – กลยุทธ์ Digital Take-Over จะถูกใช้ในช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อ register คอนเทนท์ และแบรนด์ ตามด้วยกลยุทธ์หลัง Take-Over

กลยุทธ์ Digital Take-Over บนแพลตฟอร์ม YouTube ทำให้ผู้ลงโฆษณาสามารถเพิ่มการเข้าถึงลูกค้าได้มีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้สื่อดั้งเดิมอย่างโทรทัศน์ ผลลัพธ์จากการทำโฆษณาวิดีโอหลายแคมเปญพบว่า การทำให้ผู้ชมเห็นโฆษณาถี่มากขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง ทำให้ผู้ชมสามารถจดจำคอนเทนท์โฆษณา และแบรนด์ธุรกิจได้มากขึ้นด้วย

  1. ทดลองจับคู่ Creative ที่ “โดน” กับลูกค้าที่ “ใช่” เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

เมื่อหาลูกค้าที่ใช่ได้แล้ว การปรับ Creative เพื่อสื่อสารกับลูกค้าแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านไลฟ์สไตล์ ความชอบ และสิ่งที่กำลังมองหา เป็นสิ่งสำคัญ แต่การสร้าง Creative หลายๆ แบบนี้ก็มาพร้อมกับการลงทุนทั้งเงิน และเวลาที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน คำถามที่นักการตลาดอยากรู้ คือ ควรปรับ Creative มากแค่ไหนถึงจะลงตัว จากการศึกษาแคมเปญโฆษณาจาก 10 แบรนด์ ใน 9 ประเทศทั่วโลก ได้แบ่งการทดลองออกเป็น 3 กลุ่ม คือ

1) กลุ่มควบคุมที่ใช้วิดีโอแบบทั่วไป ไม่ได้ปรับให้เข้ากับความสนใจของลูกค้า

2) กลุ่มที่เปลี่ยน copy ให้ตรงกับความสนใจของลูกค้า

3) กลุ่มที่ปรับทั้งวิดีโอ และcopy ให้ตรงกับความสนใจของลูกค้า ซึ่งการทดลองนี้พบว่า

  • ผลลัพธ์สร้างได้แค่เปลี่ยน Copy – สำหรับโฆษณา Bumper 6 วินาที การเปลี่ยนแค่ copy ก็ให้ผลลัพธ์ Ad Recall พอๆ กัน หรือดีกว่า Creative ที่เปลี่ยนทั้ง วิดีโอ และ copy ให้ตรงกับความสนใจของลูกค้า
  • ยิ่งโฆษณายาว ยิ่งต้องปรับ – สำหรับวิดีโอความยาว 20-30 วินาที การปรับ copy เล็กน้อยแทบไม่มีผลต่อผลลัพธ์ของวิดีโอ มีเพียงแต่แบรนด์ที่ปรับแต่ง Creative มากเท่านั้น ที่สามารถบรรลุผลลัพธ์ในการเพิ่ม Ad Recall
  • ต่างสัญญาณ ต่างผลลัพธ์ – กลุ่มผู้ชมที่กำลังมีเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงในชีวิต หรือช่วงชีวิตที่เฉพาะเจาะจง เช่น กำลังจะแต่งงาน มีลูก หรือเรียนจบเป็นกลุ่มผู้ชมที่ตอบสนองต่อการปรับ creative ทำให้เห็นผลลัพธ์ในการเพิ่ม Ad Recall มากที่สุด
  1. โฆษณาบน YouTube ให้ผลลัพธ์ที่มากกว่าด้วยต้นทุนเท่าเดิม

จากการวิจัยของ Kantar ที่ทำการวิเคราะห์แคมเปญการตลาด ซึ่งมีการใช้สื่อโฆษณาแบบต่างๆ ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่าแคมเปญที่มีการใช้ YouTube เป็นหนึ่งในสื่อโฆษณาของแคมเปญ สามารถช่วยทำให้ผู้บริโภคจดจำแบรนด์ และที่สำคัญจะมีการพิจารณาซื้อสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า เมื่อเปรียบเทียบงบโฆษณาที่ใช้บน YouTube กับทีวี จะเห็นได้ว่าการลงทุนบน YouTube เพียง 10% ของงบประมาณทั้งแคมเปญ สามารถสร้างการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากถึง 47% ของกลุ่มเป้าหมาย ในขณะที่สื่อโทรทัศน์นั้น ต้องใช้งบประมาณมากถึง 53% เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย 83% ซึ่งตัวเลขนี้แสดงให้เห็นประสิทธิภาพของ YouTube ได้อย่างดี

  1. YouTube สามารถช่วยเพิ่มยอดขาย

ความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำของ YouTube รวมไปถึงกลุ่มผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าในร้านออฟไลน์ ทำให้ YouTube เป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับนักการตลาดในการสร้างโอกาสให้กับธุรกิจของตัวเอง และสามารถเพิ่มยอดขายในประเทศ หรือการนำเสนอโปรโมชั่นใน YouTube เพื่อให้ลูกค้านำคูปองออนไลน์ไปใช้ที่ร้านค้า

  1. เชื่อมั่นในการวัดผลการใช้งบประมาณด้านการตลาดบน YouTube

เพื่อให้นักการตลาดสามารถเข้าถึงประสิทธิภาพในการใช้งานสื่อโฆษณาได้ดียิ่งขึ้น และวิเคราะห์ได้มากขึ้น โดยปัจจุบันนักการตลาดสามารถจะวัดผลประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดของตัวเองได้ละเอียดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น

  • การวัดผลการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในเชิงลึก เช่น ปริมาณของการเข้าถึง ความถี่ที่เห็นคอนเทนท์
  • การวัดผลกระทบต่อตัวแบรนด์ (Brand Lift Survey) เช่น การจดจำแบรนด์ที่มากขึ้น ความรู้สึกที่มีต่อแบรนด์ที่เพิ่มขึ้น
  • การวัดผลทางธุรกิจ เช่น การเข้ามาดูสินค้า การดูข้อมูลในเว็บไซต์ การซื้อสินค้าต่างๆ

อีกทั้งในอนาคตยังมีโซลูชั่นใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาเพื่อทำให้การวัดผลต่างๆ ของ YouTube เชื่อมต่อไปยังข้อมูลอื่นๆ และต่อยอดให้นักการตลาดเห็นผลลัพธ์ และวางแผนแคมเปญการตลาดได้ดียิ่งขึ้นไปกว่าเดิม

 

เกาะติดข่าวสารการตลาดออนไลน์ เทคนิคการโปรโมทโฆษณา

แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์ @ajlink ที่นี่

เพิ่มเพื่อน

Fanpage : Aj Link

ติดตามข่าวสารไอที : www.ajlink.net 

ที่มา : thinkwithgoogle

By Aj.Link

อาจารย์หลิง ณิฌา CEO : inDigital Co.,Ltd.